วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปฐมบท : ประวัติส่วนตัวของผู้เขียน(จาก กาก สู่ เทพ) ตอนที่ 1

                   สวัสดีครับ นี้คือบทแรกของการเล่าเทคเนิคเรียนอย่างไรให้ได้เกียรตินิยม ขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อปี พศ. 2550 นะครับ ตอนนั้น เป็นช่วงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่เป็นคนหัวช้าจึงเลือกที่จะใช้วิธีท่องข้อสอบเก่า( เน้นนะครับ ว่า"ท่อง" ) และทำเป็นร้อยรอบ เพื่อสอบให้ติดโควต้าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลออกมาดีครับ เจ้าของกระทู้สอบติดมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คณะเภสัชศาสตร์ หลักสูตร 6 ปี ผมเข้าไปด้วยความฝันว่าวันหนึ่งจะจบออกมาเป็นเภสัชตัวน้อย แต่ความฝันที่หวังไว้ก็เริ่มจะสั่นคลอน เมื่อเกรดเทอมแรกของผม ออกมาโดยโผล่ "D" ขึ้นมาในเกรด ซึ่งเกรดตัวนี้หากได้รับในตัวคณะจะทำให้ไม่สามารถเรียนต่อในบางวิชาของตัวคณะได้ ผมเริ่มวิตกกังวล จะเล่าให้เพื่อนฟังนั้นก็ไม่กล้าเพราะคิดว่ามันก็คงจะไม่ช่วยอะไรดีขึ้น ผมจึงทำได้แต่ก้มหน้า ก้มตาเรียน ไปเรื่อยๆ ศึกษาเทคนิคจากรุ่นพี่ต่างๆ ที่เขาว่าเก่งหนักหนา ไปติวกับเพื่อน หรือลองเปลี่ยนสไตล์ไปนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ แต่อนิจจา เทอมสองออกมา ก็โผล่ "D" ขึ้นมาในเกรดการศึกษาอีก ตอนนั้นผมเริ่ม 50/50 กับตัวเองว่าจะลาออกหรือจะเรียนต่อดี แต่ตัดสินใจเรียนต่อ เพราะ มีเหตุผลเดียวคือผมเรียนช้าอยู่แล้ว(ผมเข้าปี 1 ตอนอายุ 19 ปี) เลยไม่อยากเสียเวลาจะได้จบไวๆ ปี 2 เทอม 1 ผมปรับเทคนิคเพิ่มเติม โดยลดการเล่นกีฬาให้น้อยลง ลดการเดินเที่ยว แล้วปรับเวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น แต่ผลกลับหนักกว่าเก่า คราวนี้ ผมติด "F" เลยครับ นั้นเป็นครั้งแรกเลยนะครับ ที่ผมร้องไห้เรื่องการเรียน ผมจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีครับ
               ณ ตึก ภาควิชา anatomy

                หลังจากที่อาจารย์สอนจบในวิชา anatomy ท้ายชั่วโมง อาจารย์ได้ประกาศว่าจะติดคะแนนให้นักศึกษาทุกคนทราบ แต่ผมดูจะตื่นเต้นที่สุด เหงื่อไหลออกทั้งหน้าผาก และฝ่ามือ ไม่นานเพื่อนของผมคนหนึ่งที่ไปเข้าห้องน้ำและเดินกลับเข้ามาในห้องก็เดินมากระซิบบอกผมว่า
               "เป้ก มึงลองไปดูเองเหอะ"
               หน้าผมซีดเลยครับ รีบวิ่งไปดูที่กระดานคะแนน เข่าแทบทรุดครับ ผมติด F โลกรอบตัวผมเงียบ เพื่อนสนิทของผมเดินมาตบบ่าผม บอกกับผมว่า ไม่เป็นไรเอาใหม่ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ผมคิดในใจว่า "มึง มาเป็นกูไหมล่ะ" แต่ก็ต้องตอบออกไปด้วยสีหน้า ที่ดูไม่เป็นอะไรว่า "ได้" ผมรีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากคณะ ปิดห้องเงียบ ตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง มันรู้สึกว่า ความเหนื่อย ความพยายาม หยาดเหงื่อ ที่เรากระทำในการเรียน มันไม่มีผลอะไรกับเราเลยแม้แต่นิด ทำไมสวรรค์ไม่ยุติธรรมว่ะ คนอื่นโคตรขี้เกียจ เสือกเรียนดี ที่กูล่ะ คิดได้ไม่นาน น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลเอ่อ ออกสองข้างแก้ม ตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออก จึงโทรกลับไปหาแม่
               "ไม่เป็นไร ไม่ไหวก็ออกมาลูก" คำพูดของแม่ที่เข้าใจผม ผมบอกท่านว่า ผมพยายามที่สุดแล้ว มันไม่ได้จริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เครียดไปหมด หลังจากวันนี้ ผมจึงตัดสินใจลาออก ผมอายเพื่อนมากถึงขนาดที่ เปลี่ยนเบอร์มือถือ เปลี่ยนเฟสบุ๊ค และนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านทันที
                
               ติดตามต่อกันตอนที่ 2 นะครับ